ข้อแตกต่างของโซ่ Bigbike ระหว่าง O-Ring , X-Ring ต่างกันอย่างไร

เมื่อใช้จักรยานยนต์ ไปสักระยะ ราวๆประมาณ20,000 กิโลเมตร โซ่ Bigbike คู่ใจของเราก็ถึงเวลาที่จะจำเป็นจะต้องเปลี่ยนโซ่กันแล้ว เนื่องจากโซ่จะเริ่มหมดสภาพ ซึ่งอาการที่พูดว่าโซ่หมดสภาพ ตัวอย่างเช่น โซ่ดัง โซ่ยืด วิ่งสะดุด วิ่งไม่ออก และที่ชัดสุดคือโซ่ตาย ข้อต่อจะเริ่มหงิกงอผิดรูปทรงไป นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจจะมีการเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แต่ทีนี้พอไปที่ร้าน จะพบเจอโซ่จำนวนมากมายหลายแบบ ทั้งแบบปกติ O-Ring X-Ring Z-Ring XW-Ringไม่รู้จะเลือกอันไหนดี วันนี้จะมาอธิบายความแตกต่างของโซ่แต่ละแบบเพื่อให้ท่านผู้ที่กำลังมีความคิดจะเปลี่ยนโซ่ได้เข้าใจและเลือกใช้โซ่อย่างปลอดภัย

โซ่ Bigbike

โซ่แบบปกติ

อันนี้ง่ายๆไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เป็นการเอาชิ้นส่วนโซ่มาต่อกันแบบปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีคุณลักษณะเด่นก็คือราคาไม่แพง แต่ว่าข้อเสียคืออายุการใช้งานสั้น จำเป็นต้องหมั่นหยอดน้ำมันหล่อลื่นเสมอๆมักใช้ในรถขนาดเล็กทั่วๆไปที่ไม่ได้ต้องการสมรรถนะสูง

โซ่แบบ O-Ring

เป็นโซ่ที่ปรับปรุงขึ้นจากแบบปกติ โดยข้อต่อทุกชิ้นจะมียาง O-Ring คั่นกึ่งกลางไว้ และภายใน O-Ring จะเก็บกักน้ำมันจาระบีไว้ภายในเพื่อช่วยหล่อลื่นข้อต่อให้มีความลื่นไหลเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งป้องกันฝุ่นละอองเล็ดรอดเข้าไปในข้อต่อ จุดเด่นคือใช้ได้งานกว่าแบบปกติ 3 เท่า (ราวๆ 20,000 กิโลเมตร) ไม่ต้องมีการดูแลมากมาย (แม้กระนั้นก็จำเป็นต้องหยอดน้ำมันบ้าง) ส่วนจุดอ่อนเห็นจะเป็นเรื่องราคาจะแพงกว่าแบบปกติเกือบจะเท่าตัว มักใช้ในรถจักรยานยนต์BigBikeหรือรถสมรรถนะสูง แต่ไม่สูงเกินไปโดยจะแนะนำให้ใช้กับรถ Bigbike ขนาด 150-650 ขึ้นไปก็เพียงพอ

โซ่แบบ X-Ring

เป็นโซ่ที่พัฒนาขึ้นจากแบบ O-Ring อีกที โดยมี หลักการทำงานของโซ่ Bigbike ง่ายๆคือ เส้นยางจะเป็นรูปตัว X ถ้าหากเอา X-Ring มาตัดตามแนวขวางจะมองเห็นเป็นรูปตัว X ด้วยเหตุดังกล่าวก็เลยเรียกว่า X-Ring ซึ่งมีลักษณะเด่นก็คือช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างข้อต่อได้มากกว่าแบบ O-Ring เนื่องจากมีร่องเก็บกักจระบีถึง 4 ร่อง (ในระหว่างที่ O-Ring มีเพียงแค่ 2 ร่อง) โดยเหตุนี้ก็เลยมีความลื่นไหลมากยิ่งกว่าแล้วก็ใช้งานได้เป็นเวลานานกว่าโซ่ O-Ring ถึง 2 เท่า แต่ว่าจุดด้วยเป็นราคาสูงกว่าพอสมควร

โซ่ Bigbike

ข้อสรุประหว่าง O-Ring X-Ring เลือกแบบไหนดี

หากถามว่าแบบไหนดีสุด ก็ขึ้นกับการใช้งานของแต่ละคน หากรถทั่วๆไปก็ใช้โซ่ปกติ หากเป็นบิ๊กไบค์ทั่วๆไปก็ใช้ O-Ring แต่ถ้าเกิดเน้นประสิทธิภาพสูง แล้วก็อายุการใช้งานนานก็ควรที่จะทำการเลือกแบบ X-Ring และควรเลือกซื้อให้ตรงกับ ประเภทของรถBigbike อีกด้วยหากเอา โซ่ O-Ringไปใส่ในตัว1000 cc แน่นอนว่าโซ่ของคุณจะมีอาการข้อตาย หรือ ร้ายแรงหน่อยอาจจะถึงขั้น โซ่ขาดและ ฟาดเข้าไปที่ขาผู้ขับขี่ หรือ แคร้งเครื่อง ก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกให้เหมาะสมหรือดีกว่าที่ โรงงานผู้ผลิตแนะนำจะดีที่สุด

โดยกำลังเครื่องยนต์ของรถ โดยค่าประมาณเบอร์โซ่คร่าวๆ จะเป็นลักษณะดังนี้

  • โซ่เบอร์ 428 ใช้สำหรับ “รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป/รถสปอร์ต 125-150cc”
  • โซ่เบอร์ 520 ใช้สำหรับ “รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ต 250-500cc”
  • โซ่เบอร์ 525 ใช้สำหรับ “รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ต/บิ๊กไบค์ 650-1000cc”
  • โซ่เบอร์ 530 ใช้สำหรับ “รถมอเตอร์ไซค์คลาสสิคขนาดใหญ่/บิ๊กไบค์/ครุยเซอร์ไบค์ 900-1300cc”
โซ่ Bigbike ตารางเปรียบเทียบ

เกร็ดสาระเพิ่มเติม

นอก O-Ring X-Ring แล้วหลังจากนั้นก็ยังมี Z-Ring XW-Ring , UW-Ring และก็ฯลฯก็แล้วแต่ที่ผู้ผลิตโซ่จักรยานยนต์จะนึกออก โดยความแตกต่างจะ ต่างตรงที่ ลักษณะของยางรองระหว่างข้อต่อโซ่แต่ละข้อแต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เก็บกักสารหล่อลื่นให้คงอยู่นานขึ้นทั้งสิ้น แต่แบบไหนจะเก็บสารหล่อลื่นได้ดีกว่า มีอายุการใช้แรงงานยาวนานกว่าและสร้างภาระให้กับ ตัวโซ่เอง หรือ ตัวเครื่องยนต์เองก็จะต้องมาเทียบตารางกันอีกทีดังภาพด้านบน

ขอบคุณบทความจาก : Motorival

Bigbike มีกี่ประเภท ? ต่างกันอย่างไร ? ประเภทไหนเหมาะกับคุณ ?

กล่าวได้ว่า Bigbike ในปัจจุบันเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากรูปทรงที่สวยงาม และสมรรถนะที่ดีเยียม ทำให้รถจักรยานยนต์ประเภทดังกล่าว เป็นที่แพร่หลายในหมู่ผู้ชื่นชอบรักสองล้อในทุกเพศทุกวัย แต่อย่างไรก็ตาม บิ๊กไบค์ ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นมาในหลากหลายลักษณะ ตามการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ

Bigbike Sport

บิ๊กไบค์ แบบไหนที่เหมาะสมกับเรา ?

สำหรับคนที่กำลังสนใจบิ๊กไบค์เรียกว่าเป็นมือใหม่ที่กำลังอยากเล่นบิ๊กไบค์ซักคัน คงกำลังมองหาความแตกต่างแต่ละประเภทอยู่ โดยต้องบอกเอาไว้เลยว่าบิ๊กไบค์นั้นมีหลายๆประเภท ส่วนแต่ละคนนั้นจะชอบประเภทไหน ส่วนใหญ่ก็มักจะดูจากภายนอกเป็นหลัก แล้วในเรื่องของความแรง ก็ค่อยมาดูทีหลังได้ เพราะว่าบิ๊กไบค์แต่ละประเภทนั้นก็มีความแรงหลายระดับให้เลือกขับขี่กัน ที่สำคัญมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก

บิ๊กไบค์ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร ?

แต่ละแบรนด์ก็ผลิต บิ๊กไบค์ รูปแบบต่างๆ ประเภทต่างๆมาฟาดฟันกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของดีไซน์ เครื่องยนต์ ความคุ้มค่า ราคา การใช้งานต่างๆแบบเต็มที่ และทำให้ทุกวันนี้ มีหลากหลายประเภทจนวงการตลาดรถได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่ไม่รู้จัก ประเภท Bigbike เดี๋ยวมาดูกันว่ามีบิ๊กไบค์มีกี่ประเภท และมีประเภทอะไรบ้าง

Bigbike zx10r
Kawasaki Zx10R

1. สปอร์ตไบค์ (Sport Bike)

สำหรับคนที่ชื่นชอบในความเป็นสปอร์ต และรักในความเร็ว แรง ก็ต้องเลือกสปอร์ตไบค์กันเลย โดยรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ประเภทนี้ จะเน้นดีไซน์ที่ดูสปอร์ต หรูหรา และมีระดับความแรงให้เลือกหลายระดับด้วยกัน ซึ่งก็เป็นประเภทที่กำลังได้รับความนิยมสูงมาก และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา จึงทำให้ขับขี่และควบคุมทิศทางของตัวรถได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมหรือการตรวจสภาพรถ เพราะในไทยก็มีบิ๊กไบค์หลายยี่ห้อให้เลือก โดยเฉพาะบิ๊กไบค์สัญชาติญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในไทยหลากหลายค่าย

Bigbike naked bike
mv agusta brutale 1000 rr

2. เน็คเก็ดไบค์ (Naked Bike)

มอเตอร์ไซค์ ที่มาในรูปทรงแบบสตรีท ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตเป็นที่สุด ซึ่งก็เหมาะสำหรับนักบิดที่ชอบความเร็ว เพราะรถบิ๊กไบค์ประเภทนี้ สามารถขับโต้ลมด้วยความเร็ว แรงได้เป็นอย่างดี และยังมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลายขนาดด้วย สำหรับดีไซน์ของตัวรถ ก็ต้องบอกเลยว่าโดนใจใครหลายคนอย่างแน่นอน เพราะเปิดเผยให้เห็นโครงสร้างของเครื่องยนต์แบบดิบ ๆ ดูเท่ มีสไตล์ ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อม เพราะมีอะไหล่บิ๊กไบค์ขายตามร้านในไทยด้วยนั่นเอง

Bigbike Touring Bike
BMW K1600 GTL

3. ทัวริ่งไบค์ (Touring Bike)

บิ๊กไบค์ประเภทนี้เป็น Bigbike ที่มีความอึดทน สามารถใช้ขับขี่ในระยะทางไกลได้แบบสบาย ๆ โดยเบาะนั่งจะมีขนาดใหญ่ สามารถซ้อนท้ายได้มากถึงสองคน ทั้งยังมีช่วงล่างที่นุ่มนวล จึงขับขี่ได้อย่างง่ายดาย ไม่กระตุก แม้บนทางถนนลูกรัง หรือถนนที่มีพื้นผิวไม่เรียบสม่ำเสมอก็ตาม นอกจากนี้ก็มีกระเป๋าเอนกประสงค์ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับคุณมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถบรรจุของลงไปได้เยอะ และไม่เกะกะตัวรถอีกด้วย ดังนั้นใครที่ต้องการใช้รถขับขี่ในระยะทางไกล ๆ ก็ต้องเลือกบิ๊กไบค์ประเภทนี้กันเลย

Bigbike KTM
KTM 300 XC-W

4. เอ็นดูโร่ไบค์ (Enduro Bike)

เอาใจนักบิดขาลุย กับเอ็นดูโร่ไบค์ ที่พร้อมจะพาคุณไปลุยแบบวิบากได้ทุกพื้นที่ โดยรถประเภทนี้ก็มีความสูงพอสมควร เพื่อให้สามารถขับไปบนเส้นทางที่ลำบาก ลุยน้ำ ลุยโคลนได้โดยไม่มีปัญหา ทั้งยังมีดีไซน์การออกแบบที่ดูปราดเปรียวและมีความแข็งแรงมาก แต่ไม่เหมาะกับการขับขี่ไปบนพื้นถนนเรียบ ๆ มากนัก ซึ่งหากจำเป็นก็สามารถขับได้ เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่มากกว่าเดิมสักนิด

Bigbike CRF250R
Honda CRF250R

5. โมโตครอสไบค์ (Motocross Bike)

รถมอเตอร์ไซค์ประเภทนี้จะมาในสไตล์วิบาก โดยถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันวิบากโดยเฉพาะ และเนื่องจากดีไซน์ของตัวรถ ไม่มีไฟหน้า และมาตราวัดความเร็ว จึงไม่เหมาะที่จะนำไปขับขี่บนถนน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งรถประเภทนี้ก็โดดเด่นด้วยช่วงล่างที่ดีเยี่ยม ยางล้อรถขนาดใหญ่ และตัวถังน้ำมันขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถใช้ขับขี่ในการแข่งขันได้อย่างปราดเปรียวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญมีน้ำหนักเบามาก จึงสามารถควบคุมตัวรถและทิศทางในการขับขี่ได้อย่างง่ายดายที่สุด ใครที่ชื่นชอบการแข่งวิบาก ก็ลองซื้อโมโตครอสไบค์ ไปใช้ในการแข่งขันกันดู

Bigbike harley davidson
Harley-Davidson Iron 1200

6. ช็อปเปอร์ (Chopper)

มอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิค ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มชมรมรถคลาสสิคทั้งหลาย ซึ่งก็มีความโดดเด่นในเรื่องของความเร็ว แรง ตัวเครื่องมีความเงางามสะดุดตา และให้ความรู้สึกที่ดูเท่ โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อหนุ่มๆ นักบิดอย่างแท้จริง ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบความคลาสสิค ก็ห้ามพลาดที่จะจับจองช็อปเปอร์มาเป็นเจ้าของเลยเชียว

Bigbike ducati hypermotard
Ducati Hypermotard 950

7. โมตาร์ดไบค์ (Motard Bike)

มอเตอร์ไซค์ที่เอาใจขาซิ่ง ด้วยความพิเศษในการเกาะพื้นถนนได้ดีมาก จึงสามารถขับขี่ด้วยความเร็วได้โดยไม่ต้องกังวล ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ประเภทนี้จะนิยมใช้ขับขี่ไปบนพื้นถนนที่เป็นทางเรียบมากกว่า ไม่เหมาะกับการใช้ลุยไปบนเส้นทางที่เป็นดิน หินลูกรังมากนัก ทั้งยังสามารถขับขี่ในระยะทางไกลได้อีกด้วย จึงเป็นรถอีกหนึ่งประเภทที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินทางไกลเป็นที่สุด

Bigbike Husqvarna
Husqvarna 701

8. ดูออล เพอร์โพส ไบค์ (Dual Purpose Bike)

มอเตอร์ไซค์พร้อมลุย ที่มาในดีไซน์ที่สามารถตอบโจทย์เหล่านักบิดได้ดีที่สุด ซึ่งก็ถูกออกแบบโดยผสมผสานระหว่างรถประเภทโมตาร์ดกับเอ็นดูโร่เข้าด้วยกัน ทำให้มีดีไซน์ที่ดูสวยโดดเด่น และมีสมรรถนะในการขับขี่ไปบนท้องถนนได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับล้อรถขนาดใหญ่ จึงสามารถขับขี่ได้อย่างปราดเปรียว แม้ต้องขับขี่ในระยะทางไกลก็ตาม ใครที่ชื่นชอบการขับขี่รถบิ๊กไบค์จนเป็นชีวิตจิตใจ Dual Purpose Bike  ก็เป็น Bigbike อีกหนึ่งประเภท ที่น่าจับจองเป็นเจ้าของที่สุด

Bigbike Scooter c400GT
BMW C400GT

9. สกู๊ตเตอร์ไบค์ (SCOOTER BIKE)

ประเภทนี้มีหลายรุ่นด้วยกันที่ได้รับความนิยมเป็นสกู๊ตเตอร์เครื่องยนต์ขนาดเล็กขึ้นไป มีเบาะนั่งขนาดใหญ่ ใช้ระบบเกียร์ออโตเมติค ดีไซน์สปอร์ตสวยงาม ล้ำสมัย มีที่เก็บของขนาดใหญ่ เรียกว่าเป็นบิ๊กไบค์ที่เน้นความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นอย่างมาก เครื่องยนต์ไม่เน้นแรงเท่าไหร่ แต่เน้นการขับขี่ที่สบายเป็นหลัก ยี่ห้อและรุ่นยอดนิยมของบิ๊กไบค์แนวสกู๊ตเตอร์ได้แก่ HONDA FORZA300, Suzuki Burgman 400 ABS, Kawasaki J300, Aprilia SR Max เป็นต้นครับ เป็นสกู๊ตเตอร์พรีเมี่ยมที่หรูหราและไฮคลาสมากๆรถมอเตอร์ไซค์มีหลายประเภท และสำหรับหนึ่งในประเภทของมอเตอร์ไซค์อย่าง Bigbike นั้นเอง

Bigbike Honda montesa 4RT
Honda Montesa 4RT

(เพิ่มเติม)จักรยานยนต์ไต่เขา ( Trial Bike)

เป็นจักรยานยนต์ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันบ่อยๆ เรียกได้ว่ามีแทบไม่กี่คันในประเทศไทย เนื่องจากเป็นรถที่ถูกผลิตออกมาในเพื่อการกีฬาเท่านั้น และเฉพาะกลุ่มจริงๆ เราจึงไม่นับรวมเข้าไปใน 9 ประเภทข้างต้นเนื่องจากไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป โดยปกติแล้ว รถไต่เขา (Trial Bike) ในต่างประเทศจะมีการผลิตออกมาขายเฉพาะกลุ่มนักเล่น กีฬา ไต่ หรือ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง โดยเน้นที่ ความเบา เป็นหลัก เพื่อให้สามารถ กระโดดข้าม หรือ กระโดดเกาะสิ่งกีดขวางได้ และสามารถยืนทรงตัวอยู่บนตัวรถได้ โดยรูปทรงจะมีความคล้ายคลึงกับรถ โมโตครอส แต่จะตัดส่วนที่ควรจะมีในรถจักรยานยนต์ทั่วไปออกทั้งหมด เช่น เบาะนั่ง กระจก ชุดไฟหน้า ถังน้ำมันลดความจุให้น้อยลง และส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น ลดความสูงของรถให้ต่ำลงเพื่อเพิ่มความบาลานส์ขณะทรงตัว โดยการขี่จะต้อง ใช้การ ยืนขี่เป็นหลัก ถ้าหากได้ลองเอามาขี่บนถนนกว่าจะถึงจุดหมาย ขาคงเป็น ตระคริวไปเสียก่อนแน่นอน

ข้อสรุปและเทคนิคการเลือกบิ๊กไบค์ให้ถูกใจคุณ

การเลือก แบบไหนดีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบและวัตถุประสงค์ในการใช้งานของแต่ละคน และที่สำคัญควรเลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์กับร้านที่มีความน่าเชื่อถือด้วย เพื่อจะได้รถที่มีคุณภาพ อะไหล่ของแท้ และไม่ถูกหลอกย้อมแมวขายนั่นเอง เอาเป็นว่าก่อนซื้อมาค้นหาความชอบของตัวเองกันก่อน แล้วคุณจะเลือกบิ๊กไบค์ได้อย่างตรงใจที่สุด

บทความโดย : SBK_Superbikeskit

เทคนิคการขับ ขี่ Bigbike เข้าโค้งอย่างไรให้เร้าใจแต่ยังปลอดภัย

ในการขับ ขี่ Bigbike เพื่อเข้าโค้งเป็นอีกทักษะสำหรับการขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ทำให้ไบเกอร์หลายๆท่านสนุกสนานกับรถบิ๊กไบค์คู่ใจเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าก็ควรจะศึกษาเทคนิคการขับขี่ที่ถูกต้องโดยเทคนิคของการขับขี่บิ๊กไบค์ นั้นมีรูปแบบการขับขี่ที่แตกต่างไปจาก รถจักรยานยนต์ทั่วไปอย่างชัดเจนโดยจะมีเทคนิคอยู่ อยู่ 4แบบ คือ Lean-Out, Lean-With, Lean-In, Hang-On

การขี่รถเข้าโค้งควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ทั้งการไม่แซงทางโค้ง ประเมินสถานการณ์บนท้องถนนเพื่อให้มีความปลอดภัยต่อคุณเอง

อีกทักษะหนึ่งในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ (Bigbike) ที่ไบเกอร์ควรต้องศึกษาเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยและเพิ่มความสนุกสนานเร้าใจในการขับขี่ให้มากขึ้น การเข้าโค้งด้วยบิ๊กไบค์นั้นเป็นอีกทักษะที่คุณจำเป็นต้องฝึกฝนให้ได้ท่าที่ถูกวิธีรวมทั้งไม่เป็นอันตรายทั้งต่อไบเกอร์และผู้ร่วมใช้ถนนหนทาง

ขี่ ฺBigbike การเข้าโค้ง

ท่าที่ถูกต้องในการขี่บิ๊กไบค์เข้าโค้ง

สำหรับการเข้าโค้งหรือการเลี้ยวนั้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการก็คือ Counter Steering ซึ่งท่าทีสำหรับในการเข้าโค้งที่ถูกต้องของไบเกอร์เมื่อควบบิ๊กไบค์อยู่นั้นก็คือปลายเท้าและส้นเท้าจำเป็นต้องชิดตัวรถ ขยับตัวไปด้านหลังเล็กน้อย โน้มตัวให้หน้าอกชิดกับตัวถังน้ำมันรถบิ๊กไบค์ เก็บหัวเข่ารวมทั้งข้อศอกให้ชิดกับตัวรถเพื่อการลดแรงต้านอากาศ (Aerodynamics)

เมื่อถึงช่วงที่จำเป็นต้องยกคันเร่งให้ไบเกอร์ยกตัวขึ้นเล็กน้อยและเบี่ยงตัวจัดท่านั่งไปทางฝั่งที่จะเข้าโค้ง เอี้ยวไหล่และลำตัวไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมใช้หัวเข่าทั้งสองข้างหนีบถังน้ำมัน แล้วก็ใช้ปลายเท้าจิกที่พักเท้า ช่วงลำตัวด้านบนให้ปล่อยแขนและลำตัวตามสบายพร้อมกับแทงศอกเข้ามาในโค้ง

ประเภทของการเข้าโค้งของบิ๊กไบค์

เทคนิคและวิธีการเข้าโค้งสำหรับการขับขี่บิ๊กไบค์นั้นมีด้วยกัน 4 แบบ ซึ่งต่างกันตามท่าทางของไบเกอร์แต่ละคนและก็แตกต่างกันตามสภาพถนนที่ขับขี่ด้วย

ขี่ ฺBigbike รูปแบบการขับขี่

การเข้าโค้งแบบ Lean-Out (เอียงตัวตรงกันข้ามกับตัวรถ)

ผู้ขับ ขี่ Bigbike จะต้องถ่วงน้ำหนักตัวไปทางด้านนอกของโค้งให้มากกว่า แต่ตัวรถบิ๊กไบค์จะเอียงไปที่ด้านในของโค้งมากกว่า การเข้าโค้งแบบ Lean-Out นั้นเหมาะสมกับทางโค้งที่สามารถลื่นไถลได้ง่ายอาทิเช่นการขับขี่บนทางวิบาก เนื่องจากจะช่วยทำให้ไบเกอร์ควบคุมรถได้ง่ายดายกว่า

การเข้าโค้งแบบ Lean-With (เอียงตัวแนบไปกับตัวรถ)

พูดได้ว่าการเข้าโค้งแบบ Lean-With นั้นผู้ขับขี่จำเป็นที่จะต้องหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตัวรถบิ๊กไบค์ ทั้งรถแล้วก็คนต้องเอียงไปในองศาที่เสมอกัน เท้าของสองข้างอยู่ที่พักเท้า หัวเข่าชิดกับตัวถังน้ำมัน ศีรษะตั้งตรงอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ขับขี่และตัวรถ

Lean-With เป็นการเข้าโค้งที่เหมาะกับไบเกอร์มือใหม่ และเหมาะกับการเข้าโค้งต่างๆในชีวิตประจำวันใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ทุกประเภท เพราะว่าเป็นท่าที่ควบคุมและเปลี่ยนทิศทางรถทำได้ง่าย

การเข้าโค้งแบบ Lean-In (เอียงตัวมากกว่าตัวรถ)

การเข้าโค้งแบบ Lean-In ผู้ขับขี่จะต้องถ่วงน้ำหนักของตัวเองไปทางด้านในโค้ง โดยลำตัวจะเอียงมากกว่าตัวรถเล็กน้อย

การเข้าโค้งแบบ Lean-In ควรที่จะใช้เมื่อขับขี่บิ๊กไบค์เข้าโค้งมาด้วยความเร็วสูงและมั่นใจว่ารถยึดเกาะถนนได้ดี แม้ว่าจะควบคุมรถได้น้อยกว่าการเข้าโค้งแบบ Lean-With แต่ว่าก็เป็นท่าที่ช่วยทำให้การเข้าโค้งปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

การเข้าโค้งแบบ Hang-On (เอียงตัวโหนตัวรถ)

ผู้ขับขี่จะต้องถ่วงน้ำหนักของตัวเองไปด้านในโค้งให้เยอะที่สุด หรือที่เรียกกันว่า “โหนรถ” แต่ว่าจะทำให้การควบคุมรถมอเตอร์ไซค์เป็นไปได้ยาก ไม่เหมาะกับนักบิดมือใหม่

การเข้าโค้งแบบ Hang-On ไม่เหมาะกับการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วๆไป แต่ไบเกอร์มักใช้การเข้าโค้งแบบนี้ในสนามแข่งที่เป็นทางเรียบ

ข้อควรทราบเมื่อจำเป็นต้องควบบิ๊กไบค์เข้าโค้ง

การขับขี่บิ๊กไบค์เข้าโค้งนั้นนอกเหนือจากการจัดท่าให้ถูกแล้วก็ควรทำความเข้าใจการเข้าโค้งแบบต่างๆและเลือกใช้ให้เหมาะสมและ ทักษะการเข้าโค้งยังจำเป็นต้องอาศัยข้อควรรู้เหล่านี้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าโค้งอีกด้วย

ประเมินทางโค้ง

เป็นการคาดการณ์ด้วยสายตาถึงลักษณะของทางโค้ง เช่น ลักษณะของทางโค้ง ความลึกของโค้ง ความกว้างของถนน ความลาดชัน เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการเข้าโค้งและควบคุมรถให้เหมาะสม

หากเป็นทางโค้งระยะทางสั้นๆหรือโค้งยาวที่ไม่โค้งมากนักก็เพียงแค่ดูว่าปลอดภัยจึงขับผ่านไป แต่ว่าถ้าหากเป็นโค้งหักศอกควรจะลดระดับความเร็วให้พอดี ระวังการควบคุมเบรก ควรจะชะลอก่อนถึงโค้ง โดยควบคุมรถให้ชิดขอบทางด้านซ้ายในเลนของตัวเอง ตีวงจากนอกโค้งพับเข้าหาด้านในโค้ง โดยไม่ให้ล้ำเส้นแบ่ง ถ้าหากมีรถอยู่ในเลนขวาก็ควรจะให้ไปก่อนเพื่อให้มีความปลอดภัยระหว่างเข้าโค้ง

เมื่อถึงปลายโค้งให้ท่านกวาดสายตามองไปไกลๆว่าด้านหน้ามีสัญญาณไฟ ทางแยก หรือสิ่งกีดขวางใดๆก็ตามที่จะเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ เพื่อให้คุณประเมินสถานการณ์และก็ตัดสินใจได้ทัน

พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบข้าง

ทักษะอีกอย่างที่สำคัญสำหรับการขับขี่เข้าทางโค้งคือ ไบเกอร์ควรสังเกตสภาพแวดล้อม รวมไปถึงพื้นถนนว่ามีความขรุขระ หรือก้อนกรวดหินมากมายจนก่อให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่หรือไม่ เพื่อให้เราสามารถเว้นระยะห่างรวมทั้งหลีกเลี่ยงให้ปลอดภัย พร้อมกับเผื่อระยะของการเบรกได้มากขึ้น ถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น

อย่าแซงทางโค้ง

ถือว่าเป็นกฎสำคัญของผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภทเลยซึ่งก็คืออย่าแซงทางโค้ง เพราะว่าคุณอาจมองไม่เห็นรถที่กำลังสวนมาบางทีอาจจำทำให้เกิดอุบัติเหตุชนกันได้ หรือทางที่คุณแซงนั้นอาจมีพื้นผิวถนนไม่เรียบ เป็นหลุมบ่อ มีน้ำขังซึ่งอาจจะส่งผลให้รถยนต์บิ๊กไบค์ของคุณลื่นไถลได้

ถ้าหากด้านหน้าของคุณมีรถที่ขับช้าหรือกีดขวางจนคุณจำเป็นต้องขี่แซงนั้น คุณควรจะลดความเร็วลงแล้วดูถนนด้านหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะขับขี่แซงขึ้นไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของตัวคุณเอง

บทสรุปของการขับขี่ Bigbike

จะมองเห็นได้ว่าการขับขี่บิ๊กไบค์เข้าโค้งนั้นมีข้อควรทราบหลายๆส่วน ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนรวมทั้งทักษะการขับขี่ส่วนตัวเพื่อให้ขี่ผ่านโค้งไปได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญที่สุดคือการเคารพกฎจราจรรวมทั้งข้อปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อให้มีความปลอดภัยของตัวคุณเอง

หากบิ๊กไบค์ของคุณถึงเวลาที่จะต้องเช็กระยะหรือเข้ารับการบำรุงรักษา SBK_Superbikeskit  เรามีบริการซ่อม-บำรุง ปรับแต่ง-จูน รถบิ๊กไบค์ของคุณแบบครบวงจร พร้อมทีมช่างมืออาชีพคอยให้บริการคุณ

ขอบคุณบทความจาก : Peeramotosports

ท่อ Bigbike มีกี่ประเภท เราสามารถจำแนกได้อย่างไร

หากกล่าวถึง ข้อแตกต่างของ ท่อ Bigbike จะมีการจำแนกไว้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ระหว่าง ท่อ Full System และ ท่อ Slip-on หลายๆท่านคงจะสับสนกันบ้างแต่เมื่อ กล่าวถึงเรื่องของการแต่งรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ สิ่งหนึ่งที่ไบค์เกอร์หลายคนอยากเปลี่ยนเป็นอย่างแรกเลยก็คือ ท่อไอเสีย เพราะท่อไอเสียเดิม อาจจะมีสุ้มเสียงที่เงียบเชียบเหลือเกิน จนไม่ได้ฟิลลิ่งการขี่ แต่ว่าถ้าหากให้ล้ำลึกมากกว่านั้น คือ วิธีสำหรับการเลือกซื้อท่อไอเสียที่จะตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากได้ในเรื่องของ Performance ตามความเหมาะสมและงบประมาณ ซึ่งการเลือกระหว่างท่อไอเสียแบบ Full System กับ ท่อไอเสียแบบ Slip-on ว่าท่อบิ๊กไบค์แบบไหนจะเหมาะสมที่สุด ?

Full System และSlip-on ความแตกต่างในเรื่องของน้ำหนัก

แต่ในเรื่องของน้ำหนักนั้น ถ้าหากถามถึงความเบา ในจุดนี้ท่อไอเสียแบบ Slip-on บางทีอาจจะไม่ตอบโจทย์มากสักเท่าไรนัก เนื่องจากว่าในส่วนของคอท่อส่วนที่เชื่อมต่อเข้ากับเฮดเดอร์ยังคงเป็นคอท่อเดิมจากโรงงานที่มีน้ำหนักอยู่พอสมควร แต่ถ้าหากคนที่ไม่ซีเรียสในเรื่องของสมรรถนะต่างๆแต่เน้นเอาฟิลล้วนๆท่อแบบ Slip-on ก็สามารถตอบโจทย์ให้ได้ ในงบประมาณที่ต่ำกว่า

ท่อ Bigbike full system
ท่อ Full system ของ Multistrada พร้อมกับ DDS MAP-KEY

ท่อ Bigbike แบบ Full System

มาเริ่มกันที่ ท่อไอเสียแบบ Full System กันก่อนเลยครับ ถ้าหากแปลตามชื่อเลยว่า Full System ก็คือตามความหมายเลยคือเต็มระบบหมายถึงการที่ท่อไอเสียมาเป็นชุดเดียวกันทั้งยวง ตั้งแต่ปลายคอท่อ จนถึงปลายท่อ พร้อมการออกแบบระบบภายในเพื่อปล่อยไอเสียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยที่ไอเสียแบรนด์เนมบางรุ่น จะดีไซน์มาให้เหมาะสมกับสเต็ปของเครื่องยนต์จากโรงงาน ไม่ต้องมีการดัดแปลงแก้ไข หรืออัพเกรดส่วนประกอบอื่นๆซึ่งจะมีผลอย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลย คือ ความแรงที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ตามมาด้วยน้ำหนักที่เบาลง เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้ว ท่อไอเสียแบบ Full System จะใช้วัสดุอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสแตนเลสแบบหนา ไปจนกระทั่ง Titanium ทั้งเส้น และในส่วนของสุ้มเสียงนั้น เราไม่สามารถที่จะคอนเฟิร์มได้ว่าดังหรือเงียบกว่าเดิม (แต่ว่าส่วนใหญ่จะดังกว่าเล้กน้อย ซึ่งถ้าเป็นท่อแบรนด์เนม จะมีการกำหนดสเป็คและระดับความดังไว้อย่างชัดเจน) ด้วยเหตุว่าจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับดีไซน์ของท่อแต่ละแบรนด์ด้วยว่า มาในรูปแบบใดนั่นเองครับ ซึ่งท่อไอเสียแบบ Full System จะตอบโจทย์ได้โดนใจสำหรับไบค์เกอร์ที่อยากได้ทั้งสุ้มเสียงที่สร้างความเร้าใจในการขับขี่ พร้อมทั้งสมรรถนะในด้านของพละกำลังและน้ำหนัก รวมไปถึงความดีต่อใจในบางแบรนด์กับวัสดุดีๆที่ตามมานั่นเอง นอกจากนี้ในท่อบางแบรนด์นั้นจะมีแผ่นโปรแกรมเพิ่มมาพร้อมกับตัวท่อ เพื่อให้เราดาวน์โหลดซอฟแวร์จากแผ่นเข้าไปยัง กล่อง ECU เพื่อปรับค่า ไอเสียของกล่อง ECU ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดตามที่ ผู้ผลิตได้ออกแบบเอาไว้อีกด้วย หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า การจูน หรือ แมพท่อ (โดยใช้Map key) นั่นเอง

ท่อ Bigbike slip-on
ท่อ Akrapovic Slip-on

ท่อ Bigbike แบบ Slip-on

มาถึงในส่วนของท่อไอเสียแบบ Slip-on คือ รูปแบบท่อไอเสียที่มีการตัดต่อช่วงกลางระหว่างหม้อพักเพื่อเปลี่ยนเพียงแค่ปลายท่อไอเสีย หรือในบางรุ่นก็สามารถตัดหม้อพักเสียงที่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของการดูดซับเสียง ซึ่งจะมีผลให้เสียงท่อดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเราจะนำปลายท่อและคอท่อเสริม มาติดตั้งเข้ากับส่วนที่ตัดตรงกลางออก ที่ไม่ว่าจะเป็นหม้อพักหรือคอท่อธรรมดาก็ตาม ซึ่งในจุดนี้ส่วนคอที่จะเชื่อมต่อเข้ากับเฮดเดอร์จะยังคงเป็นคอท่อเดิมจากโรงงานนั่นเอง ผลที่ได้คือ สุ้มเสียงที่จะดังขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับรูปทรงท่อและตำแหน่งหม้อพักที่รถบางรุ่น ทั้งนี้เจ้าของรถสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเอาออกหรือไม่เอาออก

เทคนิคการตัดสินใจเลือกซื้อท่อแต่งให้คุ้มค่า

สำหรับชาว BigBike แล้วถ้าหากให้พูดถึงในเรื่องของราคาค่าตัว แน่นอนอยู่แล้วครับว่า ถ้าในแบรนด์ท่อไอเสียระดับสากลที่ได้รับความนิยมๆกัน ท่อไอเสียแบบ Full System ย่อมมีราคาค่าตัวที่แพงกว่าแบบ Slip-on อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าท่อทั้ง 2 แบบนั้น ก็มีให้เลือกวัสดุหลายแบบ และมีราคาที่แตกต่างออกไปอีกเหมือนกัน โดยไบค์เกอร์สามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการและเหมาะสมสำหรับเพื่อการใช้งานกับความคุ้มค่าได้เลยครับ ซึ่งสามารถสอบถามกับทางผู้ขายเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะซื้อ และนี่คือ ความแตกต่างระหว่างท่อไอเสียแบบ Full System กับ ท่อไอเสียแบบ Slip-on ว่าแบบใดที่ดีสุดโดนใจที่สุด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ที่กำลังมองหาท่อสักใบใส่รถคู่ใจ ซึ่งจำเป็นต้องให้คุณเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ

บทความจาก : SBK_Superbikeskit

ความต่างของหมวกกันน็อค สำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์

หากพูดถึงรถบิ๊กไบค์หรือ อุปกรณ์แต่งรถอะไรก็ตาม “หมวกกันน็อค”เองก็สำคัญไม่แพ้กันถึงจะไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้ในการแต่งรถก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นอันต้นๆ เรียกได้ว่า หมวกกันน็อค ถือเป็นไอเทมชิ้นแรกๆที่ควรจะมีเลยทีเดียวเพราะนอกจากจะทำให้มีลุคที่ดุดันมากขึ้นแล้วยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเซฟชีวิตป้องกันการกระแทกส่วนที่สำคัญของศรีษะ ไปในตัวด้วย ดังนั้นแล้วนอกจากการ “การแต่งรถ” “การแต่งคน”ก็เป็นความสำคัญที่ไม่ควรจะละเลยไปเช่นกัน แต่รู้หรือไม่ว่า หมวกกันน็อตเองก็มี การแบ่ง ระหว่าง หมวกกันน็อคสำหรับสำหรับ รถยนต์ และ มอเตอร์ไซค์ เช่นกัน

ความต่างของหมวกกันน็อค

ความต่างของหมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์

 หมวกกันน็อคนับเป็นอุปกรณ์นิรภัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งจุดประสงค์หลักของหมวกกันน็อคนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการกระทบของบริเวณศรีษะ ที่เป็นจุดหลักลำดับต้นๆของระบบร่างกายของมนุษย์ แม้วัตถุประสงค์นั้นจะเหมือนกันแต่ว่าหมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์และก็รถจักรยานยนต์นั้นก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร

ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึง ความแตกต่างของหมวกกันน็อคและเทคนิคการเลือกหมวกกันน็อค ที่ดีให้เข้ากับ ไลฟ์สไตล์ ของผู้ขับอีกด้วย เนื่องจาก หมวกกันน็อคแต่ละแบบนั้น จุดประสงค์หลักคือช่วยปกป้องศรีษะของเรา แต่ เราก็ควรเลือกใช้ให้ตรงกับโจทย์การใช้งานด้วยเช่นกัน หากมองข้ามไปอาจจะกลายเป็นโทษกับผู้ขับขี่เสียเองเราจึงควรศึกษาเกี่ยวกับหมวกซักนิด

ความต่างของหมวกกันน็อค

เพราะอุบัติเหตุในสนามแข่งจึงทำให้เกิด หมวกกันน็อคขึ้น

จุดเริ่มของหมวกกันน็อคนั้น ชัดเจนว่ามันเกิดจากการแข่งขัน โดยเป็นอุปกรณ์เพื่อปกป้องความเสียหายจากอุบัติเหตุในสนามแข่งขันจนกระทั่งมันถูกปรับปรุงให้เอาไปใช้เพื่อลดความสูญเสียของการคมนาคมสำหรับรถเครื่องที่นับวันจะยิ่งทวีความร้ายแรงเพิ่มมากขึ้น หลังจากตัวรถที่ถูกปรับปรุงไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนหมวกกันน็อคในรถยนต์นั้นจะมีมาตรฐานที่แตกต่างไปจากหมวกกันน็อคสำหรับจักรยานยนต์ โดยส่วนมากจะมีมาตรฐาน SA หรือ Snell เป็นตัวบ่งชี้ความปลอดภัย

โดยมาตรฐาน SA หรือ Snell นั้นถูกกำหนดให้ใช้เป็นครั้งแรกในปี 1957 โดยการก่อตั้งของกลุ่มคนที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อเป็นเกียรติให้กับ William “Pete” Snell อดีตนักแข่งรถมีชื่อเสียงที่เสียชีวิตจากการประลองรถยนต์ทางเรียบ เนื่องจากหัวกระแทกจากการหลุดออกไปของหมวกกันน็อคภายหลังจากการชน เมื่อปี 1956 จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน มาตรฐานของหมวกกันน็อกนั้นก็ถูกปรับปรุงให้มีค่าการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นตามกาลเวลา และทำให้เกิดมาตรฐานรับรองความปลอดภัยมากมายทั้ง DOT และ UN ECE ซึ่งก็จะมีความแตกต่างในเรื่องของความเข้มงวดในการทดสอบแยกย่อยไปอีก

ความต่างของหมวกกันน็อค

ความต่างของหมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์

ความแตกต่างของหมวกกันน็อคของรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ นั้นจะมีการทดสอบโดยรวมที่คล้ายๆกันในหลายๆด้านแต่จุดประสงค์ของการทดสอบ คือ ให้มีประสิธิภาพในการปกป้องศรีษะจากอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด เช่น

  • 1.การทนต่อไฟ

หมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นจะมีมาตรฐานกันไฟที่สูงกว่าหมวกกันน็อคสำหรับจักรยานยนต์ ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการขับรถยนต์นั้น เรามักจะมองเห็นผู้ขี่ติดอยู่ในห้องนักขับหลังจากเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งอาจจะเกิดไฟไหม้จากอุบัติเหตุนั้นๆพวกเส้นใยด้านในที่ห่อหุ้มระหว่างเปลือกนอกและหัวของผู้สวมนั้นจะถูกสร้างด้วยเส้นใยที่ทนความร้อนหรือไม่ติดไฟ ในส่วนของยางเดินขอบบริเวณรอบๆชิลด์หน้านั้นจะเป็นยางที่สามารถละลายได้เมื่อโดนความร้อนในระดับค่อนข้างสูง โดยจะเป็นส่วนที่จะสามารถช่วยปิดและยึดเกาะชิลด์หน้าไม่ให้เปิดออก เพื่อป้องกันเปลวไฟที่บางครั้งอาจจะนำไปสู่ช่องว่างขณะเกิดอุบัติเหตุได้

  • 2.การรับแรงกระแทกที่ไม่เหมือนกัน

การรับแรงกระแทกนั้นก็แตกต่างกัน หมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นต้องมีค่าการรับแรงที่สูงกว่า หมวกกันน็อคสำหรับจักรยานยนต์ เนื่องจากในส่วนของห้องขับนั้นจะเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่มีความแข็ง ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบ พวงมาลัย คานเหล็กดามรถ กระจก หน้าต่าง หรือแม้กระทั้งหลังคา ไม่เหมือนกันการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่จะเน้นย้ำไปที่การลดแรงเสียดทานจากการไถลหรือลื่นที่สูงกว่า

  • 3.ส่วนป้องกันเสริมที่แตกต่างกัน

ตามาตรฐาน SA2015 หมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นควรต้องสามารถติดตั้งอุปกรณ์ HANS (Head and Neck Safety) หรืออุปกรณ์ป้องกันคอและศรีษะ เพื่อลดโอกาสในการบาดเจ็บที่ศีรษะและคอ การแตกหักของกะโหลกและกระดูกส่วนคอที่เชื่อมต่อไปยังกระดูกสันหลัง ที่เป็นจุดที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในทันทีถ้าหากว่าไม่มีการป้องกัน ส่วนหมวกกันน็อคสำหรับจักรยานยนต์นั้นส่วนนี้จะอยู่ในส่วนของเสื้อและชุดสำหรับใช้ในการขับขี่แทน

  • 4.รูปร่าง / การถ่ายเทอากาศ / อากาศพลศาสตร์ / เสียงดังรบกวน / น้ำหนัก

อย่างที่เราเห็นว่าในภาพหมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นจะไม่มีส่วนของการออกแบบเพื่ออากาศพลศาสตร์ ตัวเปลือกนอกจะเรียบเนียนกลมไปตามรูปสรีระของศรีษะ เนื่องจากมันถูกใช้งานภายในห้องขับที่ไม่มีส่วนกระทบกับอากาศภายนอก โดยเหตุนี้เรื่องเสียงรบกวนของมันก็เลยมีน้อยกว่าหมวกกันน็อคสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่นเดียวกับน้ำหนักที่หมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นมักจะหนักกว่ารถจักรยานยนต์ เนื่องจากไม่มีปัจจัยหลักที่จะต้องต้านกับอากาศด้านนอกเหมือนการขับขี่รถจักรยานยนต์

ผลสรุป

มันอาจจะดูเหมือนกับว่าเหมือนกันแต่ว่าก็มีความแตกต่างอยู่ไม่น้อย แต่จะว่าไปแล้วในหมวกกันน็อคสำหรับรถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์ นั้นบางรุ่นก็ผ่านมาตรฐานในการใช้งานสำหรับแข่งรถยนต์ได้ แต่ว่าในทางตรงกันข้ามหมวกกันน็อคสำหรับรถยนต์นั้นแทบจะไม่ถูกนำมาใช้ในกิจกรรมสำหรับรถมอเตอร์ไซค์สักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าด้วยราคาที่สูงกว่าและก็ประสิทธิภาพที่อาจจะดูไม่ค่อยจะเหมาะสม มันก็เหมือนกับน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ทำหน้าที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันไปซะทีเดียว

บทความโดย : SBK_Superbikeskit

ควิกชิฟเตอร์(Quick Shifter) คืออะไร ใช้งานยังไง?

ถ้าหากกล่าวถึงความสนุกสนานในการขับขี่รถบิ๊กไบค์ อุปกรณ์เสริมอย่าง ควิกชิฟเตอร์(Quick Shifter) ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ

ทำให้การขี่เป็นเรื่องง่ายขึ้นและเท่มากขึ้นเวลาสับเกียร์แล้วท่อยิงปุ้งปัง (ความชอบส่วนตัว)

QuickShifter

ควิกชิฟเตอร์ คืออะไร?

ควิกชิฟเตอร์ (Quick shifter) เป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเปลี่ยนเกียร์ ให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ่นโดยไม่ต้องกำคลัชและไม่จำเป็นต้องยกคันเร่ง โดยทั่วไปแล้วจะนิยมใช้ในสนามแข่งขันเพื่อทำเวลา เนื่องจากว่าถ้าหากจำเป็นต้องกำคลัชรวมทั้งยกคันเร่งแล้วเปลี่ยนเกียร์จะมีผลให้กำลังของเครื่องยนต์ตกลงไป

ควิกชิฟเตอร์ ใช้อย่างไร?

ควิกชิฟเตอร์ มีทั้งแบบ up อย่างเดียว คือสามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ่นโดยไม่กำคลัชได้เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น เกียร์ 1-2-3-4-5-6

การใช้งานคือ เปลี่ยนเกียร์ได้ในทันทีโดยไม่ต้อง กำคลัชและยกหรือผ่อนคันเร่ง(ที่สำคัญจึงควรอยู่ในรอบเครื่องยนต์มากกว่า 6,000 รอบ) แต่ว่าถ้าหากจะเปลี่ยนเกียร์ลงจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีกำคลัชและยกหรือผ่อนคันเร่งเหมือนเดิม

QuickShifter

ควิกชิฟเตอร์ แบบ up – down สามารถเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัชได้ทั้งขึ้นและลง

การใช้งานคือ เปลี่ยนเกียร์ได้ในทันทีโดยไม่ต้อง ยกหรือผ่อนคันเร่ง(ที่สำคัญควรต้องอยู่ในรอบเครื่องยนต์มากกว่า 6,000 รอบ)

ถึงแม้ว่าจะมีควิกชิฟเตอร์แล้ว แต่ว่าถ้าเกิดใช้ไม่ถูกต้องก็จะทำให้ระบบเกียร์เสื่อมสภาพเร็วได้เช่นเดียวกัน

การใช้ควิกชิฟเตอร์นั้น ควรต้องให้รอบเครื่องยนต์อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือรอบสูงแล้วเท่านั้น ขั้นต่ำ 5-6000 รอบ/นาที เพื่อป้องกันเกียร์แตกหรือเฟืองเกียร์หักหากใช้ในรอบที่ต่ำบ่อยๆ

หาควิกชิฟเตอร์และติดตั้งได้จากที่ไหน?

ควิกชิฟเตอร์หาได้จากร้านค้าของแต่งสำหรับบิ๊กไบค์ ทางศูนย์บริการจะไม่มีควิกชิฟเตอร์ขาย แต่ว่าจะเป็นอะไหล่สำหรับรถบิ๊กไบค์รุ่นที่ติดควิกชิฟเตอร์มาจากโรงงานแล้วเท่านั้น

รถที่ไม่มีควิกชิฟเตอร์สามารถติดตั้งควิกชิฟเตอร์ได้ไหม?

รถบิ๊กไบค์ทั่วๆไปสามารถติดตั้งได้ แต่ไม่ค่อยแนะนำให้ติด เนื่องจากว่าเมื่อติดควิกชิฟเตอร์ สำหรับรถบิ๊กไบค์ที่ไม่มีควิกชิฟเตอร์อยู่แล้วจะเป็นการรบกวนระบบไฟ และจำเป็นที่จะต้องมี การจูน กล่อง ECU ด้วย ที่สำคัญแม้เป็นรถที่มีประกัน ประกันจะขาดโดยทันที

หากอยากได้รถที่มีควิกชิฟเตอร์ แอดมินแนะนำให้ซื้อรุ่นที่มีควิกชิฟเตอร์ ติดมาด้วยจะดีมากกว่า นอกจากจะไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเพิ่มแล้ว ยังอยู่ในการรับประกันอีกด้วย เสียเมื่อใดก็เคลมกับศูนย์บริการได้เลย

กล่อง ECU หรือ กล่องไฟ  คืออะไรกันแน่?

ECU คือกล่องอะไร

หลายคนคงจะสงสัยไม่มากก็น้อยว่า เจ้ากล่องเล็กๆที่อยู่ในรถหรือเอาไว้เสียบกับคอมหรือที่เขาเรียกกันว่า “กล่องไฟ” จริงๆแล้วคือกล่องอะไรกันแน่มีหน้าที่อะไร วันนี้เราจะมาไขความลับของเจ้ากล่องนี้กันกล่อง ECU (Electronic Control Unit) เป็นกล่องอุปกรณ์ที่ประมวลผลเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่รับข้อมูลต่างๆของตัวรถมาประมวลผลเพื่อการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ให้ทำงานได้ตามมาตรฐานของเครื่องยนต์ และทุกเครื่องยนต์ไม่ว่าจะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์เล็กใหญ่ ที่มีการเผาไหม้น้ำมันจำเป็นต้องมีกล่อง ECU ที่ว่านี้คอยควบคุมการทำงานเสมอ เปรียบเสมือนหัวใจหลักของรถเลยก็ว่าได้

กล่อง ECU แบ่งเป็น 3 ประเภทตามโปรแกรมของข้อมูล

กล่อง ECU แบบ Standard

กล่อง ECU ที่ติดมากับรถยนต์  ซึ่งกล่อง ECU ชนิดนี้จะป้อนข้อมูลมาพร้อมแล้วจากโรงงาน กล่อง ECU ชนิดนี้ บางรุ่นก็สามารถเปลี่ยน Rom หรือ Eprom ได้ บางรุ่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้

กล่อง ECU แบบ ปรับแต่งโมดิฟายได้             

กล่อง ECU แบบ โมดิฟายได้ หรือเรียกกันแบบทั่วไปว่า “กล่องแต่ง” สามารถกำหนดโปรแกรมกำหนดข้อมูลเข้าไปใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราได้ทำการติดตั้งเข้าไปในเครื่องยนต์ ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มนักแต่งรถไม่ว่าจะรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือ จักรยานยนต์บิ๊กไบค์ก็ตาม เช่นกล่อง ควิกชิฟเตอร์ ของอาฟเตอร์มาเก็ท

กล่อง ECU QuickShifter

กล่อง ECU แบบเขียนโปรแกรมเอง

กล่อง ECU นี้เราจะเรียกกันว่า “กล่องพ่วง” จะไม่มีการเขียนโปรแกรมมาก่อน จะมีเพียง software สำหรับต่อพ่วงกับกล่องเดิม หรือใช้แทนกล่องเดิม กล่อง ECU ประเภทนี้ถือว่าใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงและราคาแพง

การดูแลรักษากล่อง ECU  

การรักษากล่อง ECU ควรให้อยู่ห่างจากความร้อนและความชื้น ระวังการล้างห้องเครื่อง หรือขับรถลุยน้ำ เพราะกล่อง ECU หากโดนน้ำมากๆอาจจะทำให้เซนเซอร์มีการทำงานผิดปกติได้  นอกจากนี้ ในรถเรามักจะเห็นมดใช้เป็นที่อยู่อาศัยกันบ่อยๆ หากจอดรถทิ้งไว้นานๆ แล้วสตาร์ทไม่ติด รวมถึงเกิดการรีเลย์ต่างๆ ในรถ แต่พอตรวจสอบระบบการทำงานหรืออุปกรณ์ พบว่ามีมดเข้าไปทำรังอยู่ในกล่องควบคุมหรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยนต์ หากว่าเจอมดทั้งหลายอยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้นแค่ถอดทำความสะอาดทำความสะอาดชิ้นส่วนอุปกรณ์ก็สามารถทำงานได้ปกติ แต่ถ้ามดเข้าบ่อยๆ เยอะๆ อาจทำให้กล่อง ECU พังได้ ดังนั้นทางที่ดีควรตรวจสอบกล่อง ECU และอุปกรณ์ต่างๆ ให้ห่างไกลมดจะดีที่สุด

บทความโดย : SBK_Superbikeskit Facebook : Sbk_superbikeskit

Engine Brake คืออะไร

Engine Brake ใช้อย่างไร

Engine Brake (เอ็นจิ้น เบรค) คือ การใช้เครื่องยนต์ในการช่วยฉุดกำลังของรถที่กำลังวิ่ง เกิดการจังหวะที่เราผ่อนคันเร่ง ส่งผลให้รอบเครื่องยนต์ลดลง ก่อให้เกิดแรงหน่วงจากเครื่องยนต์ ไปยังระบบขับเคลื่อน ซึ่งทำให้เกิดแรงฉุดภายในเครื่องยนต์ ส่งผลให้ความเร็วของรถคันนั้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามรอบเครื่องยนต์ที่ลดลงมา

วัตถุประสงค์หลักของ Engine Brake คืออะไร ตัวช่วยที่สำคัญในการลดความเร็วของรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ได้อย่างง่ายดายไม่ใช่แค่บิ๊กไบค์ ทำงานโดยแทบจะไม่สูญเสียการควบคุม โดยเฉพาะรถบิ๊กไบค์ที่หากคุณต้องการลดความเร็วในโค้ง เมื่อคุณเข้าโค้งด้วยความเร็วที่สูงเกินไป เจ้า Engine Brake นี่แหละ คือตัวช่วยที่จะทำให้ท่านผ่านพ้นอันตรายไปได้

แต่ การทำงานของ Engine Brake ในรถแต่ละประเภทนั้น มีการทำงานที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง มีลักษณะของแรงฉุดที่แตกต่างกัน ตามขนาดของเครื่องยนต์ และประเภทของเกียร์อีกด้วย

การใช้ Engine Brake Bigbike

รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ หรือรถบิ๊กไบค์ การใช้ Engine Brake นี่ถือว่าเป็น 1 ใน 3 เบรคที่คุณต้องใช้ให้เป็น ซึ่งเบรคของมอเตอร์ไซค์ มี 3 จุดด้วยกัน ได้แก่ 1.เบรคหน้า 2.เบรคหลัง และ 3.เบรคเครื่องยนต์ หรือ Engine Brake

ถ้าให้พูดกันแบบตรงไปตรงมา หากคุณใช้ 3 เบรคนี้ไม่เป็น คุณยังไม่ควรขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ เพราะมันอาจจะแปรเปลี่ยนจากความสนุก เป็นเรื่องอันตรายได้เลย

หลักการทำงานเหมือนกับรถประเภทอื่นทุกประการ แต่จะง่ายกว่า เพราะรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ในท้องตลาดส่วนใหญ่ มักจะเป็นเกียร์แมลนวล คลัตช์มือ ยกเว้นรถบางรุ่นเท่านั้นที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ

โดยการทำ Engine Brake ก็มีหลักการเดียวกับรถยนต์เช่นกัน (มันคือธรรมชาติของเครื่องยนต์สันดาปทุกประเภท) คือ เมื่อรอบเครื่องยนต์ลดลง จะเกิดแรงเฉื่อยที่ส่งผลให้ความเร็วของรถนั้นลดลง หรือที่เรียกว่า Engine Brake โดยวิธีใช้งาน Engine Brake ในรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น

1. การยกคันเร่ง รอบเครื่องยนต์ลดลง เกิด Engine Brake

2. การลดเกียร์ และยกคันเร่ง เพราะการลดเกียร์ เป็นการเพิ่มอัตราทดรอบเครื่องยนต์เข้าไป ทำให้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นนั่นเอง และในขณะที่รอบเครื่องยนต์ค่อยๆ ลดลง จะเกิดเอ็นจิ้นเบรคโดยอัตโนมัติ

วิธีการเหล่านี้ จะเป็นการเรียกใช้งาน Engine Brake ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการลดเกียร์นั้น จะส่งผลให้เกิด Engine Brake อย่างมหาศาล ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้เกียร์ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับความเร็วในการขับขี่ หากต้องการใช้ Engine Brake จากการลดเกียร์

ทำไมต้องใช้ Engine Brake ตอนขับรถลงเขา?

เพราะ Engine Brake คือตัวช่วยที่จะทำให้ท่านไม่ต้องใช้เบรคจากระบบเบรคเยอะจนเกินไป จนเกิดอาการเบรคไม่จับ เบรคเฟด หนักหน่อยเบรคไหม้ เบรคไม่อยู่ อันส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ทางที่ดี ควรเรียนรู้การใช้งาน Engine Brake ให้คล่องไว้ ดีที่สุด

Engine Brake คืออะไร สรุปวิธีใช้สั้นๆ

ยก หรือ ปล่อยคันเร่ง ปล่อยให้รอบเครื่องยนต์ลดลง ทำให้ เกิด Engine Brake เองโดยอัตโนมัติ ควรฝึกใช้ให้คล่องจะมีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก

การจูนคืออะไร? ทำไมต้องจูน? ผลดีและผลเสียจากการจูนรถ By: SBK_Superbikeskit

การจูนคืออะไร? ทำไมต้องจูน? ผลดีและผลเสียจากการจูนรถ

การจูนคืออะไร หมายความว่าอย่างไร?

การจูน (Tune) หรือ จูนนิ่ง (Tuning) คือการปรับส่วนผสมของอากาศและน้ำมัน องศาไฟในการจุดระเบิด เป็นส่วนใหญ่เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามที่ผู้ปรับ (Tunner)ได้ออกแบบเอาไว้ นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งออฟชั่นเสริมต่างๆที่โรงงานล็อคได้ล็อคไว้บางส่วนในรถบางรุ่นหรือแก้ไข ความหน่วงของรถที่มีควิกชิฟเตอร์ (Quick Shifter) ให้มีความกระชับมากขึ้นที่ความหน่วงน้อยลงเพิ่มความลื่นไหลในการเข้าเกียร์กล่าวคือในรถบางรุ่นจากโรงงานที่มีควิกชิฟเตอร์ติดมาส่วนใหญ่จะเป็นค่าเดิมของโรงงานที่ตั้งค่ามาให้มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ซึ่งอาจจะรีดประสิทธิภาพออกมาได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ขับขี่หรือปรับแต่งส่วนอื่นๆที่เป็นข้อด้อยของรถรุ่นนั้นๆและยังสามารถรีดแรงม้าให้มากขึ้นกว่าค่าเดิมที่มาจากโรงงานอีกด้วย โดยส่วนใหญ่รถที่มาจากโรงงานจะมีการปรับแต่งกล่องประมวลผล (ECU :Electronic Control Unit) ซึ่งเปรียบเสมือนกับสมองของรถมาจากโรงงานให้มีค่า กลางหรือเป็นไปตามมาตราฐานที่วิศวกรออกแบบรถคำนวณเอาไว้ในระดับหนึ่งแต่ไม่สูงจนเกินไปเพื่อป้องกันเครื่องยนต์ที่อาจจะมีการสึกหลอไวกว่าปกติและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับเครื่องยนต์ การปรับจูนจึงเปรียบเสมือนการเค้นประสิทธิภาพของเครื่องออกมาให้เพิ่มขึ้นมากน้อยตามแต่สมควรเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์ จูนเนอร์จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในเครื่องของรถบิ๊กไบค์แต่ละรุ่นอย่างถ่องแท้

ทำไมต้องจูนเพิ่ม? 

  อันที่จริงการจูนถือเป็นทางเลือกเสริมไม่จำเป็นต้องปรับจูนเสมอไปเพราะจุดประสงค์ของการจูนอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แก้ไข้ข้อด้อยของรถบางรุ่นและปลดล็อคออฟชั่นบางอย่างของรถบางรุ่นเช่น Zx10r หากเป็นรถที่มาจากโรงงาน ควิกชิฟเตอร์จะมีอาการหน่วงอย่างเห็นได้ชัดมากกว่ารถรุ่นอื่นทำให้การขับขี่อาจจะไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร การจูนจึงเป็นทางแก้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ควิกชิฟเตอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้นมีความต่อเนื่องของการเข้าเกียร์สมูทขึ้นและยังสามารถปลดล็อคควิกชิฟดาวน์ได้อีกด้วย หรือแม้จะปรับจูนให้ประหยัดน้ำมันก็สามารถทำได้เป็นต้น

ผลดีและผลเสียจากการจูน

 การจูนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย 

           ข้อดี คือการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นปลดล็อคออฟชั่นบางอย่างของรถบางรุ่นปรับจูนแรงม้าให้มากขึ้นจากค่าเดิมโรงงาน หรือ ปิดการทำงานการแจ้งเตือนความผิดพลาดของรถบางอย่างหรือที่เรียกกันติดปากว่า ไฟเอ็นจิ้น(Engine light) สามารถบอกประสิทธิภาพของเครื่องโดยผ่านการขึ้นเครื่องวัดแรงม้า (Dyno Test) อีกด้วย

        ข้อเสีย คือการปรับแต่งกล่องข้อมูลของรถ อาจจะทำให้มีผลต่อวารันตีเครื่องยนต์ถือเป็นเรื่องปกติของเครื่องยนตร์สันดาป หากเครื่องยนต์มีกำลังหรือแรงม้า (Horse Power) ที่มากขึ้นย่อมส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นตามไปด้วยนอกจากนี้ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์หากผู้จูน (Tunner) ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการจูนปรับแต่งเครื่องยนต์ทั้งนี้ผู้ใช้รถควรศึกษาหรือหาร้านที่มีมาตราฐานเชื่อถือได้มีอุปกรณ์ที่ครบครันและช่างที่ชำนาญงานนอกจากนี้อาจจะทำให้ระบบไฟของรถมีปัญหาหรือชำรุดเกิดความเสียหายในระยะยาวได้หากใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่ไม่ได้มาตราฐาน 

กราฟแสดงผลแรงม้าก่อนและหลังการจูน
กราฟแสดงผลแรงม้าก่อนและหลังการจูน

สรุปข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดีของการจูนปรับแต่ง

  • เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น 
  • ปิดการทำงานของไฟเอ็นจิ้นบางตัว 
  • ปรับแต่งควิกชิฟเตอร์ให้มีความต่อเนื่องมากขึ้น 
  • ปลดล๊อครอบเครื่องยนต์ให้มากขึ้น

ข้อเสียของการจูนปรับแต่ง

  • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น (สามารถปรับจูนให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นแต่กำลังเครื่องอาจมีการลดลง)
  • ประกันวารันตีเครื่องยนต์ขาด เพราะการจูนคือการเข้าไปแก้สมองของรถ
  • ทำให้เครื่องยนต์หรือกล่อง ECU มีปัญหาหากผู้ปรับจูนไม่มีความรู้มากพอ 
  • อายุของเครื่องยนต์ระบบส่งกำลังลดลง เนื่องจากต้องรับภาระที่มากกว่าเดิม

รีแมพ พระราม5 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่านพิจรณายอมรับข้อดีข้อเสียของการจูนได้หรือไม่ คุ้มค่ากับการจูนหรือไม่ทางเรา SBK_SuperbikesKit ยินดีให้คำปรึกษาและบริการทุกท่านด้วยช่างผู้ชำนาญงาน

“เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งอยู่เคียงข้างท่านในทุกเส้นทาง”

พวกเราทีมงาน SBK_SuperbikesKit

SBK SuperbikesKit เราคือทีมช่างผู้ชำนาญงานด้านเครื่องยนตร์บิ๊กไบค์

SBK SuperbikesKit เราคือทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ด้านเครื่องยนตร์โดยตรง สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีบริการซ่อม-บำรุง ปรับจูน ปรับแต่งเครื่องยนตร์บิ๊กไบค์ครบวงจรเช็คสภาพเครื่องยนต์ไปจนครอบคลุมถึงอุปกรณ์แต่งรถบิ๊กไบค์และยังมีการอบรบการเรียนการสอนเกี่ยวกับการปรับจูนเครื่องยนต์บน Dyno ด้วยผู้ฝึกสอนมืออาชีพที่เชี่ยวชาญงานจากสายวิชาชีพวิศวกรรมไฟฟ้า(Electrical Engineering)โดยตรงอุปกรณ์เครื่องมือครบครัน มีคุณภาพ การันตรีผลงานมากมายจากชาวไทยรวมถึงชาวต่างชาติเราพร้อมดูแลให้บริการและปรึกษาเกี่ยวกับ รถบิ๊กไบค์ อย่างมืออาชีพทั้งก่อนและหลังการให้บริการทุกรุ่นทุกยี่ห้ออาทิ Honda Yamaha Kawasaki Suzuki BMW และอื่นๆอีกหลายยี่ห้อ เพื่อให้คุณมั่นใจในคุณภาพของเรา ดูแลซ่อมบำรุงเครื่องยนต์เปรียบเสมือนรถของเราเองทุกคัน ปรับจูนรถทุกคันอย่างระเอียดบน Dyno เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและยังปลอดภัยต่อเครื่องยนตร์ของท่านด้วยจูนเนอร์ชั้นแนวหน้าของประเทศไทย โดย คุณรุ่งSBK อีกทั้งยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์คอยให้คำปรึกษาให้ความช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่

SBK ทีมงาน
ทีมงาน SBK SuperbikesKit

อะไรทำให้ SBK SuperbikesKit โดดเด่นกว่าที่อื่น

เพราะเราดำเนินงานด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และรอบครอบ อีกทั้งยังมีทีมงานชั้นนำของประเทศคอยให้คำปรึกษาจึงเป็นที่กล่าวถึงของทั้งคนไทยรวมทั้งชาวต่างชาติพวกเรามีผลงานมากมายที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ตอกย้ำถึงคุณภาพในการให้บริการรถบิ๊กไบค์คู่ของท่านเพื่อให้ท่านมีความสุขกับรถบิ๊กไบค์คู่ใจของท่าน

SBK คุณรุ่ง
คุณรุ่ง SBK SuperbikesKit

นอกเหนือจากซ่อมแซมปรับแต่งเครื่องยนต์แล้วยังมีบริการอะไรอีกไหม

พวกเรายังมีบริการจัดหาอุปกรณ์ตกแต่ง ให้แก่ท่านด้วยราคาที่เหมาะสม เพื่อให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ท่านได้มอบให้เรา นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการจัด อบรบคอร์สการเรียนการสอนสำหรับท่านที่สนใจอยากจะศึกษาเกี่ยวกับการปรับแต่งเครื่องยนตร์บนเครื่องทดสอบแรงม้า Dyno นอกจากนี้ทางเรายังมีคอร์สสอนแฟลชจูนไม่ว่าจะเป็น

  • – สอนใช้ WinOls จับแมพและอ่านค่าต่างๆในไฟล์ Ori
  • – สอนการสร้าง Mappack และตารางแฟลชจูนในโปรแกรม WinOls
  • – สอนการสร้างไฟล์ XDF และตารางแฟลชจูนในโปรแกรม TunerPro